ที่มาและความสำคัญ
ยางลบ
คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่งใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุ เช่น
กระดาษดินสอ
ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ
การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ
โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น
ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา
แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ
ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุน้ำยางของต้นยางอินเดียมี
สีขาวเมื่อเปลือกถูกตัดออก มี 2-3 ชนิดที่มียางมาก และเคยใช้ยางเหล่านี้มาทำประโยชน์
ยางอินเดียมีคุณสมบัติ คือ ช่วยในการดูดสารพิษ
ฟอกอากาศและน้ำยางของต้นยางอินเดียนั้นยังมีความเหนียวเหมือนน้ำยางของต้นยางพาราอีกทั้งต้นยางอินเดียเป็นต้นไม้ที่ปลูกง่าย
ชอบแสงและทนความร้อนได้ซึ่งเหมาะกับภูมิอากาศของประเทศไทย
น้ำยางของต้นยางอินเดียมีสีขาวเมื่อเปลือกถูกตัดดอก มี 2-3 ชนิดที่มียางมาก
และเคยใช้ยางเหล่านี้มาทำประโยชน์
(ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%
B8%A5%E0%B8%9A)
กลุ่มของข้าพเจ้าจึงมีความสนใจในคุณสมบัติของน้ำยางจากต้นยางอินเดียทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่
เราจึงเริ่มต้นโดยการกรีดน้ำยางของต้นยางอินเดียมาบรรจุลงในภาชนะ
น้ำยางจับตัวกันเป็นก้อน กลุ่มของข้าพเจ้าจึงนำน้ำยางของต้นยางอินเดียที่จับตัวกันเป็นก้อนมาลบรอยดินสอซึ่งผลที่ตามมาคือยางจากต้นยางอินเดียสามารถลบรอยดินสอได้
ดังนั้นทางกลุ่มของข้าพเจ้าจึงได้ศึกษาการทำยางลบจากต้นยางอินเดียเพื่อนำมาทดแทนยางลบที่ทำจากน้ำยางของต้นยางพาราที่ใช้ลบกันในปัจจุบันและยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย
วัตถุประสงค์
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางต้นยาวงอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียครั้งนี้เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
ขอบเขตของการศึกษา
ด้านระยะเวลา
11 พ.ค-1 ต.ค2555
ด้านเนื้อหา
คณะผู้จัดทำมุ่งที่จะศึกษาการนำน้ำยางจากต้นยางอินเดียมาทำเป็นยางลบ
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.นำยางลบที่ได้จากต้นยางอินเดียมาใช้ประโยชน์ได้
2.เกิดองค์ความรู้ใหม่และนำไปเผยแผ่ทางอินเตอร์เน็ตได้
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียและสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาแก่ผู้ศึกษาได้ การค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังมีหัวข้อดังต่อไปนี้
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
2.ต้นยางอินเดีย
3.วิธีการทำยางลบ
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Ficusannlata
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
(ที่มา:http://www.nanagarden.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2-10314-13.html)
2.ต้นยางอินเดีย
ยาง (Ficus)
เป็นพวกไม้ยืนต้นที่มีใบเขียวตลอดปี (evergreen) มีทั้งไม้พุ่มไม้เลื้อย และไม้ยืนต้น พบในป่าแถบร้อน
บางชนิดขึ้นได้ดีในที่กลางแจ้ง และมีหลายชนิดที่ใช้เป็นไม้ประดับภายในอาคาร พวก Ficusอยู่ในวงศ์ Mal- berry หรือ Family Moraceaeส่วนมากมียางสีขาวเมื่อเปลือกถูกตัดดอก มี 2-3 ชนิดที่มียางมาก
และเคยใช้ยางเหล่านี้มาทำประโยชน์ เช่นเดียวกับยางพาราในขณะนี้ Ficusเป็นชื่อลาตินที่มีความหมายว่า ต้นมะเดื่อ (Fig Tree) มีรากพิเศษขึ้นอยู่เหนือพื้นดิน พันธุ์ไม้ในพวก Ficusนี้มีในเมืองไทยมานานแล้ว ซึ่งรวมถึงต้นไทรย้อย (F. benjamina) คร่าง (F. altissima), โพธิ์ (F. relig-iosa)
พันธุ์ไม้พวก Ficusนี้ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางได้หลายชนิด
และใช้ปลูกทำเป็นไม้แคระก็ได้ (Bonsai หรือ Miniature
tree)
พันธุ์
ยางอินเดีย (Rubber Plant) Ficuselasticadecoraใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง
ต้นใหญ่ ใบใหญ่ หนาดก สีเขียวสดเป็นมัน
สวนยางอินเดียชนิดมีใบด่างสีเหลืองสลับเขียวอ่อนนั้น คือ Ficuselasticavariegataคือ
ยางด่างที่ปลูกกันในเมืองไทย อ่อนแอ ไม่แข็งแรงเท่าพวก F. Elasticadecoraทั้งสองชนิดนี้มีปลูกกันมากในประเทศไทย
เพราะขยายพันธุ์ได้ง่ายและเจริญเติบโตดี
นอกจากนี้มีอีกพันธุ์หนึ่งที่นิยมปลูกกันในเมืองไทยเป็นไม้ประดับกันคือ
Ficuslyrataใบอาจใหญ่ยาวถึง
18 นิ้ว สีเขียวอ่อน ด้านไม่เป็นมันเหมือน F.
elasticadecoraขอบใบอาจเป็นลอนขึ้นๆ ลงๆ เส้นใบนูนเห็นได้ชัด
ใบสากคล้าย ๆ มีขนอยู่ทั่ว ๆ ไป ซึ่งเรียกลักษณะใบว่า ยางในรูปชื่อฝรั่ง (Fiddle
shaped leaves)
Ficusparcellii เป็นพันธุ์จากหมู่เกาะแปซิฟิค
ใบบางมีลายด่างสีขาวครีม และผลมีสีด่างด้วย
Ficusrubiginosa จากออสเตรเลีย เจริญเติบโตได้ง่าย
เช่น F. elasticaสำหรับพันธุ์ Ficusอื่น ๆ ที่เลื้อยก็มี เช่น F.
pumila (repens) ใช้ปลูกคลุมกำแพงที่เราเรียกกันว่า “ตีนตุ๊กแก”
การขยายพันธุ์
วิธีตัดชำเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับ Ficuselasticadecoraโดยตัดกิ่งที่แก่พอสมควรออกเป็นท่อน
ๆ ท่อนหนึ่งที่ข้อและใบติดมาด้วยหนึ่งใบ นำไปชำในกระบะทรายหรือถ่านแกลบ
ให้ใบที่ติดมากับต้นนั้นอยู่เหนือวัตถุ ปักชำเพื่อกันกิ่งชำล้ม
อาจมีหลักไม้ผูกนาบกับใบไว้ด้วย เพราะใบใหญ่และหนักกว่ากิ่งที่ตัดมาชำ
ตาที่โคนใบจะแตกเป็นยอดต้นใหม่ขึ้นพร้อมทั้งรากจะแตกออกได้ไม่ยากนัก ส่วนยางด่าง (F.
elasticavariegata) นั้น การตอนได้ผลดีกว่าการปักชำ
เพราะธรรมชาติอ่อนแออยู่แล้วในเมืองไทย
ถ้าปักชำก็โตช้าและรูปร่างสูงชลูดไม่ค่อยงามนัก
ข้อเสียของยางด่างอีกข้อหนึ่งก็คือทิ้งใบและใบร่วงตามโคนต้นได้ง่าย
ใบที่มีส่วนต่าง ๆ ถูกแดดมากอาจไหม้เกรียมได้ง่าย ๆ
การตอน
เป็นวิธีขยายพันธุ์ยางอินเดียที่นิยมทำกับส่วนยอดของต้น
เพราะจะได้ต้นใหม่ที่มีรูปร่างทรงสวยงามทันใจ การตอนก็ตอนแบบธรรมดา
ถึงแม้ยางจะไหลออกมาเวลาขวั้นต้น ก่อนหุ้มดินก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไร ประมาณ 10-15 วัน รากก็งอกออกแล้ว
ในทางการค้านั้นใช้ยางอินเดียปลูกลงในดินกลางแจ้ง เมื่อต้นยังอ่อนอยู่จะขึ้นเป็นกิ่งเดียวสูงชลูด
ถ้าหากไม่มีไม้ค้ำจุนแล้วก็จะโอนเอน ทำให้แตกตาด้านข้างของกิ่งออกมา
ดังนั้นในทางการค้าจึงนิยมตอนออกเสียก็จะได้ต้นใหม่ที่มียอดเป็นพุ่มพวงสวยงาม
แล้วตอที่ตัดมานั้นก็จะแตกยอดเป็นแขนงใหม่ ตอนไปได้อีกหลายยอด ส่วนตอที่อยู่ต่ำใต้จากยอดที่ตอนไปนั้น
ก็ตัดมาทำกิ่งปักชำได้อีก จึงทำให้การขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและเพียงพอในทางการค้า
ดินที่ใช้ปลูกยางอินเดียนั้นควรเป็นดินร่วน
ที่มีการระบายน้ำได้ดี และมีปุ๋ยพอสมควร โดยเฉพาะที่ปลูกในกระถางนั้น
ควรให้ปุ๋ยน้ำอ่อน ๆ บ้างบางครั้ง และควรทำความสะอาดใบด้วยน้ำสบู่บ้าง
จะทำให้ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน และทำให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้นด้วย
พวกยางอินเดียนี้มีรากอากาศหรือรากพิเศษที่งอกกอกมาจากลำต้นเหนือพื้นดินขึ้นมาด้วย
เช่นเดียวกับรากต้นไทร (Ficusbenjamina)
นอกจากการตอน การปักชำแล้ว บางชนิดยังใช้วิธีทับกิ่งได้ผลดีกว่าวิธีอื่น
ๆ ด้วย เช่น พวกตีนตุ๊กแก (F. pumila)
(ที่มา: http://www.thaikasetsart.com/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%
AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2/)
3.วิธีการทำยางลบ
การทำยางลบสามารถทำได้จากธรรมชาติแต่ต้องใช้เทคโนโลยีแบบยางแห้ง คือ
นำยางธรรมชาติ มาผสมกับสารเคมีที่สำคัญ คือ กำมะถัน สารตัวเร่ง สารกระต้น สี
สารช่วยขัดและสารช่วยทำความสะอาด บดผสมรวมกันแล้วนำไปทำให้เป็นเส้นริ้ว
ขนาดตามต้องการ และนำไปอบด้วยไอน้ำยางเกิดการวัลคาไนซ์ (ทำใหสุก) แล้วจึงตัดเป็นก้อนตามขนาดที่ต้องการ
(ที่มา: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=0da1198b578209b1)
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรีบนอินเตอร์เน็ต ระบุว่า ยางลบ อเมริกันเรียก eraser อังกฤษเรียก rubber คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่งใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุ
เช่น กระดาษดินสอส่วนมากจึงมักจะมียางลบติดมาด้วยเพื่อใช้ควบคู่กัน
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
(ที่มา
http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_05266.php)
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียและสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาแก่ผู้ศึกษาได้ การค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังมีหัวข้อดังต่อไปนี้
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
2.ต้นยางอินเดีย
3.วิธีการทำยางลบ
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Ficusannlata
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
(ที่มา:http://www.nanagarden.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2-10314-13.html)
2.ต้นยางอินเดีย
ยาง (Ficus)
เป็นพวกไม้ยืนต้นที่มีใบเขียวตลอดปี (evergreen) มีทั้งไม้พุ่มไม้เลื้อย และไม้ยืนต้น พบในป่าแถบร้อน
บางชนิดขึ้นได้ดีในที่กลางแจ้ง และมีหลายชนิดที่ใช้เป็นไม้ประดับภายในอาคาร พวก Ficusอยู่ในวงศ์ Mal- berry หรือ Family Moraceaeส่วนมากมียางสีขาวเมื่อเปลือกถูกตัดดอก มี 2-3 ชนิดที่มียางมาก
และเคยใช้ยางเหล่านี้มาทำประโยชน์ เช่นเดียวกับยางพาราในขณะนี้ Ficusเป็นชื่อลาตินที่มีความหมายว่า ต้นมะเดื่อ (Fig Tree) มีรากพิเศษขึ้นอยู่เหนือพื้นดิน พันธุ์ไม้ในพวก Ficusนี้มีในเมืองไทยมานานแล้ว ซึ่งรวมถึงต้นไทรย้อย (F. benjamina) คร่าง (F. altissima), โพธิ์ (F. relig-iosa)
พันธุ์ไม้พวก Ficusนี้ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางได้หลายชนิด
และใช้ปลูกทำเป็นไม้แคระก็ได้ (Bonsai หรือ Miniature
tree)
พันธุ์
ยางอินเดีย (Rubber Plant) Ficuselasticadecoraใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง
ต้นใหญ่ ใบใหญ่ หนาดก สีเขียวสดเป็นมัน
สวนยางอินเดียชนิดมีใบด่างสีเหลืองสลับเขียวอ่อนนั้น คือ Ficuselasticavariegataคือ
ยางด่างที่ปลูกกันในเมืองไทย อ่อนแอ ไม่แข็งแรงเท่าพวก F. Elasticadecoraทั้งสองชนิดนี้มีปลูกกันมากในประเทศไทย
เพราะขยายพันธุ์ได้ง่ายและเจริญเติบโตดี
นอกจากนี้มีอีกพันธุ์หนึ่งที่นิยมปลูกกันในเมืองไทยเป็นไม้ประดับกันคือ
Ficuslyrataใบอาจใหญ่ยาวถึง
18 นิ้ว สีเขียวอ่อน ด้านไม่เป็นมันเหมือน F.
elasticadecoraขอบใบอาจเป็นลอนขึ้นๆ ลงๆ เส้นใบนูนเห็นได้ชัด
ใบสากคล้าย ๆ มีขนอยู่ทั่ว ๆ ไป ซึ่งเรียกลักษณะใบว่า ยางในรูปชื่อฝรั่ง (Fiddle
shaped leaves)
Ficusparcellii เป็นพันธุ์จากหมู่เกาะแปซิฟิค
ใบบางมีลายด่างสีขาวครีม และผลมีสีด่างด้วย
Ficusrubiginosa จากออสเตรเลีย เจริญเติบโตได้ง่าย
เช่น F. elasticaสำหรับพันธุ์ Ficusอื่น ๆ ที่เลื้อยก็มี เช่น F.
pumila (repens) ใช้ปลูกคลุมกำแพงที่เราเรียกกันว่า “ตีนตุ๊กแก”
การขยายพันธุ์
วิธีตัดชำเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับ Ficuselasticadecoraโดยตัดกิ่งที่แก่พอสมควรออกเป็นท่อน
ๆ ท่อนหนึ่งที่ข้อและใบติดมาด้วยหนึ่งใบ นำไปชำในกระบะทรายหรือถ่านแกลบ
ให้ใบที่ติดมากับต้นนั้นอยู่เหนือวัตถุ ปักชำเพื่อกันกิ่งชำล้ม
อาจมีหลักไม้ผูกนาบกับใบไว้ด้วย เพราะใบใหญ่และหนักกว่ากิ่งที่ตัดมาชำ
ตาที่โคนใบจะแตกเป็นยอดต้นใหม่ขึ้นพร้อมทั้งรากจะแตกออกได้ไม่ยากนัก ส่วนยางด่าง (F.
elasticavariegata) นั้น การตอนได้ผลดีกว่าการปักชำ
เพราะธรรมชาติอ่อนแออยู่แล้วในเมืองไทย
ถ้าปักชำก็โตช้าและรูปร่างสูงชลูดไม่ค่อยงามนัก
ข้อเสียของยางด่างอีกข้อหนึ่งก็คือทิ้งใบและใบร่วงตามโคนต้นได้ง่าย
ใบที่มีส่วนต่าง ๆ ถูกแดดมากอาจไหม้เกรียมได้ง่าย ๆ
การตอน
เป็นวิธีขยายพันธุ์ยางอินเดียที่นิยมทำกับส่วนยอดของต้น
เพราะจะได้ต้นใหม่ที่มีรูปร่างทรงสวยงามทันใจ การตอนก็ตอนแบบธรรมดา
ถึงแม้ยางจะไหลออกมาเวลาขวั้นต้น ก่อนหุ้มดินก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไร ประมาณ 10-15 วัน รากก็งอกออกแล้ว
ในทางการค้านั้นใช้ยางอินเดียปลูกลงในดินกลางแจ้ง เมื่อต้นยังอ่อนอยู่จะขึ้นเป็นกิ่งเดียวสูงชลูด
ถ้าหากไม่มีไม้ค้ำจุนแล้วก็จะโอนเอน ทำให้แตกตาด้านข้างของกิ่งออกมา
ดังนั้นในทางการค้าจึงนิยมตอนออกเสียก็จะได้ต้นใหม่ที่มียอดเป็นพุ่มพวงสวยงาม
แล้วตอที่ตัดมานั้นก็จะแตกยอดเป็นแขนงใหม่ ตอนไปได้อีกหลายยอด ส่วนตอที่อยู่ต่ำใต้จากยอดที่ตอนไปนั้น
ก็ตัดมาทำกิ่งปักชำได้อีก จึงทำให้การขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและเพียงพอในทางการค้า
ดินที่ใช้ปลูกยางอินเดียนั้นควรเป็นดินร่วน
ที่มีการระบายน้ำได้ดี และมีปุ๋ยพอสมควร โดยเฉพาะที่ปลูกในกระถางนั้น
ควรให้ปุ๋ยน้ำอ่อน ๆ บ้างบางครั้ง และควรทำความสะอาดใบด้วยน้ำสบู่บ้าง
จะทำให้ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน และทำให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้นด้วย
พวกยางอินเดียนี้มีรากอากาศหรือรากพิเศษที่งอกกอกมาจากลำต้นเหนือพื้นดินขึ้นมาด้วย
เช่นเดียวกับรากต้นไทร (Ficusbenjamina)
นอกจากการตอน การปักชำแล้ว บางชนิดยังใช้วิธีทับกิ่งได้ผลดีกว่าวิธีอื่น
ๆ ด้วย เช่น พวกตีนตุ๊กแก (F. pumila)
(ที่มา: http://www.thaikasetsart.com/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%
AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2/)
3.วิธีการทำยางลบ
การทำยางลบสามารถทำได้จากธรรมชาติแต่ต้องใช้เทคโนโลยีแบบยางแห้ง คือ
นำยางธรรมชาติ มาผสมกับสารเคมีที่สำคัญ คือ กำมะถัน สารตัวเร่ง สารกระต้น สี
สารช่วยขัดและสารช่วยทำความสะอาด บดผสมรวมกันแล้วนำไปทำให้เป็นเส้นริ้ว
ขนาดตามต้องการ และนำไปอบด้วยไอน้ำยางเกิดการวัลคาไนซ์ (ทำใหสุก) แล้วจึงตัดเป็นก้อนตามขนาดที่ต้องการ
(ที่มา: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=0da1198b578209b1)
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรีบนอินเตอร์เน็ต ระบุว่า ยางลบ อเมริกันเรียก eraser อังกฤษเรียก rubber คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่งใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุ
เช่น กระดาษดินสอส่วนมากจึงมักจะมียางลบติดมาด้วยเพื่อใช้ควบคู่กัน
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
(ที่มา
http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_05266.php)
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียและสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาแก่ผู้ศึกษาได้ การค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังมีหัวข้อดังต่อไปนี้
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
2.ต้นยางอินเดีย
3.วิธีการทำยางลบ
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Ficusannlata
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
(ที่มา:http://www.nanagarden.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2-10314-13.html)
2.ต้นยางอินเดีย
ยาง (Ficus)
เป็นพวกไม้ยืนต้นที่มีใบเขียวตลอดปี (evergreen) มีทั้งไม้พุ่มไม้เลื้อย และไม้ยืนต้น พบในป่าแถบร้อน
บางชนิดขึ้นได้ดีในที่กลางแจ้ง และมีหลายชนิดที่ใช้เป็นไม้ประดับภายในอาคาร พวก Ficusอยู่ในวงศ์ Mal- berry หรือ Family Moraceaeส่วนมากมียางสีขาวเมื่อเปลือกถูกตัดดอก มี 2-3 ชนิดที่มียางมาก
และเคยใช้ยางเหล่านี้มาทำประโยชน์ เช่นเดียวกับยางพาราในขณะนี้ Ficusเป็นชื่อลาตินที่มีความหมายว่า ต้นมะเดื่อ (Fig Tree) มีรากพิเศษขึ้นอยู่เหนือพื้นดิน พันธุ์ไม้ในพวก Ficusนี้มีในเมืองไทยมานานแล้ว ซึ่งรวมถึงต้นไทรย้อย (F. benjamina) คร่าง (F. altissima), โพธิ์ (F. relig-iosa)
พันธุ์ไม้พวก Ficusนี้ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางได้หลายชนิด
และใช้ปลูกทำเป็นไม้แคระก็ได้ (Bonsai หรือ Miniature
tree)
พันธุ์
ยางอินเดีย (Rubber Plant) Ficuselasticadecoraใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง
ต้นใหญ่ ใบใหญ่ หนาดก สีเขียวสดเป็นมัน
สวนยางอินเดียชนิดมีใบด่างสีเหลืองสลับเขียวอ่อนนั้น คือ Ficuselasticavariegataคือ
ยางด่างที่ปลูกกันในเมืองไทย อ่อนแอ ไม่แข็งแรงเท่าพวก F. Elasticadecoraทั้งสองชนิดนี้มีปลูกกันมากในประเทศไทย
เพราะขยายพันธุ์ได้ง่ายและเจริญเติบโตดี
นอกจากนี้มีอีกพันธุ์หนึ่งที่นิยมปลูกกันในเมืองไทยเป็นไม้ประดับกันคือ
Ficuslyrataใบอาจใหญ่ยาวถึง
18 นิ้ว สีเขียวอ่อน ด้านไม่เป็นมันเหมือน F.
elasticadecoraขอบใบอาจเป็นลอนขึ้นๆ ลงๆ เส้นใบนูนเห็นได้ชัด
ใบสากคล้าย ๆ มีขนอยู่ทั่ว ๆ ไป ซึ่งเรียกลักษณะใบว่า ยางในรูปชื่อฝรั่ง (Fiddle
shaped leaves)
Ficusparcellii เป็นพันธุ์จากหมู่เกาะแปซิฟิค
ใบบางมีลายด่างสีขาวครีม และผลมีสีด่างด้วย
Ficusrubiginosa จากออสเตรเลีย เจริญเติบโตได้ง่าย
เช่น F. elasticaสำหรับพันธุ์ Ficusอื่น ๆ ที่เลื้อยก็มี เช่น F.
pumila (repens) ใช้ปลูกคลุมกำแพงที่เราเรียกกันว่า “ตีนตุ๊กแก”
การขยายพันธุ์
วิธีตัดชำเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับ Ficuselasticadecoraโดยตัดกิ่งที่แก่พอสมควรออกเป็นท่อน
ๆ ท่อนหนึ่งที่ข้อและใบติดมาด้วยหนึ่งใบ นำไปชำในกระบะทรายหรือถ่านแกลบ
ให้ใบที่ติดมากับต้นนั้นอยู่เหนือวัตถุ ปักชำเพื่อกันกิ่งชำล้ม
อาจมีหลักไม้ผูกนาบกับใบไว้ด้วย เพราะใบใหญ่และหนักกว่ากิ่งที่ตัดมาชำ
ตาที่โคนใบจะแตกเป็นยอดต้นใหม่ขึ้นพร้อมทั้งรากจะแตกออกได้ไม่ยากนัก ส่วนยางด่าง (F.
elasticavariegata) นั้น การตอนได้ผลดีกว่าการปักชำ
เพราะธรรมชาติอ่อนแออยู่แล้วในเมืองไทย
ถ้าปักชำก็โตช้าและรูปร่างสูงชลูดไม่ค่อยงามนัก
ข้อเสียของยางด่างอีกข้อหนึ่งก็คือทิ้งใบและใบร่วงตามโคนต้นได้ง่าย
ใบที่มีส่วนต่าง ๆ ถูกแดดมากอาจไหม้เกรียมได้ง่าย ๆ
การตอน
เป็นวิธีขยายพันธุ์ยางอินเดียที่นิยมทำกับส่วนยอดของต้น
เพราะจะได้ต้นใหม่ที่มีรูปร่างทรงสวยงามทันใจ การตอนก็ตอนแบบธรรมดา
ถึงแม้ยางจะไหลออกมาเวลาขวั้นต้น ก่อนหุ้มดินก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไร ประมาณ 10-15 วัน รากก็งอกออกแล้ว
ในทางการค้านั้นใช้ยางอินเดียปลูกลงในดินกลางแจ้ง เมื่อต้นยังอ่อนอยู่จะขึ้นเป็นกิ่งเดียวสูงชลูด
ถ้าหากไม่มีไม้ค้ำจุนแล้วก็จะโอนเอน ทำให้แตกตาด้านข้างของกิ่งออกมา
ดังนั้นในทางการค้าจึงนิยมตอนออกเสียก็จะได้ต้นใหม่ที่มียอดเป็นพุ่มพวงสวยงาม
แล้วตอที่ตัดมานั้นก็จะแตกยอดเป็นแขนงใหม่ ตอนไปได้อีกหลายยอด ส่วนตอที่อยู่ต่ำใต้จากยอดที่ตอนไปนั้น
ก็ตัดมาทำกิ่งปักชำได้อีก จึงทำให้การขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและเพียงพอในทางการค้า
ดินที่ใช้ปลูกยางอินเดียนั้นควรเป็นดินร่วน
ที่มีการระบายน้ำได้ดี และมีปุ๋ยพอสมควร โดยเฉพาะที่ปลูกในกระถางนั้น
ควรให้ปุ๋ยน้ำอ่อน ๆ บ้างบางครั้ง และควรทำความสะอาดใบด้วยน้ำสบู่บ้าง
จะทำให้ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน และทำให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้นด้วย
พวกยางอินเดียนี้มีรากอากาศหรือรากพิเศษที่งอกกอกมาจากลำต้นเหนือพื้นดินขึ้นมาด้วย
เช่นเดียวกับรากต้นไทร (Ficusbenjamina)
นอกจากการตอน การปักชำแล้ว บางชนิดยังใช้วิธีทับกิ่งได้ผลดีกว่าวิธีอื่น
ๆ ด้วย เช่น พวกตีนตุ๊กแก (F. pumila)
(ที่มา: http://www.thaikasetsart.com/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%
AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2/)
3.วิธีการทำยางลบ
การทำยางลบสามารถทำได้จากธรรมชาติแต่ต้องใช้เทคโนโลยีแบบยางแห้ง คือ
นำยางธรรมชาติ มาผสมกับสารเคมีที่สำคัญ คือ กำมะถัน สารตัวเร่ง สารกระต้น สี
สารช่วยขัดและสารช่วยทำความสะอาด บดผสมรวมกันแล้วนำไปทำให้เป็นเส้นริ้ว
ขนาดตามต้องการ และนำไปอบด้วยไอน้ำยางเกิดการวัลคาไนซ์ (ทำใหสุก) แล้วจึงตัดเป็นก้อนตามขนาดที่ต้องการ
(ที่มา: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=0da1198b578209b1)
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรีบนอินเตอร์เน็ต ระบุว่า ยางลบ อเมริกันเรียก eraser อังกฤษเรียก rubber คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่งใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุ
เช่น กระดาษดินสอส่วนมากจึงมักจะมียางลบติดมาด้วยเพื่อใช้ควบคู่กัน
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
(ที่มา
http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_05266.php)
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียและสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาแก่ผู้ศึกษาได้ การค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องดังมีหัวข้อดังต่อไปนี้
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
2.ต้นยางอินเดีย
3.วิธีการทำยางลบ
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
1.ลักษณะของต้นยางอินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Ficusannlata
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
ชื่อวงศ์: Moraceae
ชื่อสามัญ: Banyan Tree, Rubber Plant, IndianRubber Tree
ชื่อพื้นเมือง: ยางลบ,ลุง
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ลำต้นมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร ลำต้นตรงแตกกิ่งก้านเป็นพุ่มทึบ บางชนิดก็เป็นพุ่มโปร่ง มีรากอากาศห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้น ผิวเปลือกเรียบสีขาวปนเทา
ใบ เป็นใบเดี่ยวแตกออกจากกิ่ง และส่วนยอดของลำต้น ใบออกเป็นคู่สลับกัน ลักษณะใบ ขนาดใบ และสีสันแตกต่างกันตามพันธุ์
ดอก เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปยาวรีคล้ายผลออกเป็นคู่ข้างกิ่ง ดอกเล็ก
ฝัก/ผล กลมรี เมื่อสุกสีเหลือง เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0 . 8 เซนติเมตร
การปลูก: ปลูกในแปลงปลูก ปลูกในกระถาง
การดูแลรักษา: ชอบดินร่วนซุย ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ชอบแสงแดดจัด
การขยายพันธุ์: การปักชำ การตอน การใช้เมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีคือ การตอนและการปักชำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- น้ำยางใช้ทำยาง
ถิ่นกำเนิด: ประเทศอินเดีย หมู่เกาะมลายู
*เป็นพืชดูดสารพิษช่วยฟอกอากาศภายในบ้านและสำนักงานได้อย่างดีเยี่ยม
(ที่มา:http://www.nanagarden.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2-10314-13.html)
2.ต้นยางอินเดีย
ยาง (Ficus)
เป็นพวกไม้ยืนต้นที่มีใบเขียวตลอดปี (evergreen) มีทั้งไม้พุ่มไม้เลื้อย และไม้ยืนต้น พบในป่าแถบร้อน
บางชนิดขึ้นได้ดีในที่กลางแจ้ง และมีหลายชนิดที่ใช้เป็นไม้ประดับภายในอาคาร พวก Ficusอยู่ในวงศ์ Mal- berry หรือ Family Moraceaeส่วนมากมียางสีขาวเมื่อเปลือกถูกตัดดอก มี 2-3 ชนิดที่มียางมาก
และเคยใช้ยางเหล่านี้มาทำประโยชน์ เช่นเดียวกับยางพาราในขณะนี้ Ficusเป็นชื่อลาตินที่มีความหมายว่า ต้นมะเดื่อ (Fig Tree) มีรากพิเศษขึ้นอยู่เหนือพื้นดิน พันธุ์ไม้ในพวก Ficusนี้มีในเมืองไทยมานานแล้ว ซึ่งรวมถึงต้นไทรย้อย (F. benjamina) คร่าง (F. altissima), โพธิ์ (F. relig-iosa)
พันธุ์ไม้พวก Ficusนี้ใช้ปลูกเป็นไม้กระถางได้หลายชนิด
และใช้ปลูกทำเป็นไม้แคระก็ได้ (Bonsai หรือ Miniature
tree)
พันธุ์
ยางอินเดีย (Rubber Plant) Ficuselasticadecoraใช้ปลูกเป็นไม้กระถาง
ต้นใหญ่ ใบใหญ่ หนาดก สีเขียวสดเป็นมัน
สวนยางอินเดียชนิดมีใบด่างสีเหลืองสลับเขียวอ่อนนั้น คือ Ficuselasticavariegataคือ
ยางด่างที่ปลูกกันในเมืองไทย อ่อนแอ ไม่แข็งแรงเท่าพวก F. Elasticadecoraทั้งสองชนิดนี้มีปลูกกันมากในประเทศไทย
เพราะขยายพันธุ์ได้ง่ายและเจริญเติบโตดี
นอกจากนี้มีอีกพันธุ์หนึ่งที่นิยมปลูกกันในเมืองไทยเป็นไม้ประดับกันคือ
Ficuslyrataใบอาจใหญ่ยาวถึง
18 นิ้ว สีเขียวอ่อน ด้านไม่เป็นมันเหมือน F.
elasticadecoraขอบใบอาจเป็นลอนขึ้นๆ ลงๆ เส้นใบนูนเห็นได้ชัด
ใบสากคล้าย ๆ มีขนอยู่ทั่ว ๆ ไป ซึ่งเรียกลักษณะใบว่า ยางในรูปชื่อฝรั่ง (Fiddle
shaped leaves)
Ficusparcellii เป็นพันธุ์จากหมู่เกาะแปซิฟิค
ใบบางมีลายด่างสีขาวครีม และผลมีสีด่างด้วย
Ficusrubiginosa จากออสเตรเลีย เจริญเติบโตได้ง่าย
เช่น F. elasticaสำหรับพันธุ์ Ficusอื่น ๆ ที่เลื้อยก็มี เช่น F.
pumila (repens) ใช้ปลูกคลุมกำแพงที่เราเรียกกันว่า “ตีนตุ๊กแก”
การขยายพันธุ์
วิธีตัดชำเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับ Ficuselasticadecoraโดยตัดกิ่งที่แก่พอสมควรออกเป็นท่อน
ๆ ท่อนหนึ่งที่ข้อและใบติดมาด้วยหนึ่งใบ นำไปชำในกระบะทรายหรือถ่านแกลบ
ให้ใบที่ติดมากับต้นนั้นอยู่เหนือวัตถุ ปักชำเพื่อกันกิ่งชำล้ม
อาจมีหลักไม้ผูกนาบกับใบไว้ด้วย เพราะใบใหญ่และหนักกว่ากิ่งที่ตัดมาชำ
ตาที่โคนใบจะแตกเป็นยอดต้นใหม่ขึ้นพร้อมทั้งรากจะแตกออกได้ไม่ยากนัก ส่วนยางด่าง (F.
elasticavariegata) นั้น การตอนได้ผลดีกว่าการปักชำ
เพราะธรรมชาติอ่อนแออยู่แล้วในเมืองไทย
ถ้าปักชำก็โตช้าและรูปร่างสูงชลูดไม่ค่อยงามนัก
ข้อเสียของยางด่างอีกข้อหนึ่งก็คือทิ้งใบและใบร่วงตามโคนต้นได้ง่าย
ใบที่มีส่วนต่าง ๆ ถูกแดดมากอาจไหม้เกรียมได้ง่าย ๆ
การตอน
เป็นวิธีขยายพันธุ์ยางอินเดียที่นิยมทำกับส่วนยอดของต้น
เพราะจะได้ต้นใหม่ที่มีรูปร่างทรงสวยงามทันใจ การตอนก็ตอนแบบธรรมดา
ถึงแม้ยางจะไหลออกมาเวลาขวั้นต้น ก่อนหุ้มดินก็ไม่เป็นอุปสรรคอะไร ประมาณ 10-15 วัน รากก็งอกออกแล้ว
ในทางการค้านั้นใช้ยางอินเดียปลูกลงในดินกลางแจ้ง เมื่อต้นยังอ่อนอยู่จะขึ้นเป็นกิ่งเดียวสูงชลูด
ถ้าหากไม่มีไม้ค้ำจุนแล้วก็จะโอนเอน ทำให้แตกตาด้านข้างของกิ่งออกมา
ดังนั้นในทางการค้าจึงนิยมตอนออกเสียก็จะได้ต้นใหม่ที่มียอดเป็นพุ่มพวงสวยงาม
แล้วตอที่ตัดมานั้นก็จะแตกยอดเป็นแขนงใหม่ ตอนไปได้อีกหลายยอด ส่วนตอที่อยู่ต่ำใต้จากยอดที่ตอนไปนั้น
ก็ตัดมาทำกิ่งปักชำได้อีก จึงทำให้การขยายพันธุ์ได้ปริมาณมากและเพียงพอในทางการค้า
ดินที่ใช้ปลูกยางอินเดียนั้นควรเป็นดินร่วน
ที่มีการระบายน้ำได้ดี และมีปุ๋ยพอสมควร โดยเฉพาะที่ปลูกในกระถางนั้น
ควรให้ปุ๋ยน้ำอ่อน ๆ บ้างบางครั้ง และควรทำความสะอาดใบด้วยน้ำสบู่บ้าง
จะทำให้ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน และทำให้เจริญเติบโตได้ดีขึ้นด้วย
พวกยางอินเดียนี้มีรากอากาศหรือรากพิเศษที่งอกกอกมาจากลำต้นเหนือพื้นดินขึ้นมาด้วย
เช่นเดียวกับรากต้นไทร (Ficusbenjamina)
นอกจากการตอน การปักชำแล้ว บางชนิดยังใช้วิธีทับกิ่งได้ผลดีกว่าวิธีอื่น
ๆ ด้วย เช่น พวกตีนตุ๊กแก (F. pumila)
(ที่มา: http://www.thaikasetsart.com/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%
AD%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2/)
3.วิธีการทำยางลบ
การทำยางลบสามารถทำได้จากธรรมชาติแต่ต้องใช้เทคโนโลยีแบบยางแห้ง คือ
นำยางธรรมชาติ มาผสมกับสารเคมีที่สำคัญ คือ กำมะถัน สารตัวเร่ง สารกระต้น สี
สารช่วยขัดและสารช่วยทำความสะอาด บดผสมรวมกันแล้วนำไปทำให้เป็นเส้นริ้ว
ขนาดตามต้องการ และนำไปอบด้วยไอน้ำยางเกิดการวัลคาไนซ์ (ทำใหสุก) แล้วจึงตัดเป็นก้อนตามขนาดที่ต้องการ
(ที่มา: http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=0da1198b578209b1)
4.ประวัติความเป็นมาของยางลบ
ข้อมูลจากวิกิพีเดีย
สารานุกรมเสรีบนอินเตอร์เน็ต ระบุว่า ยางลบ อเมริกันเรียก eraser อังกฤษเรียก rubber คือเครื่องเขียนชนิดหนึ่งใช้สำหรับลบรอยดินสอหรือปากกาที่เขียนบนวัสดุ
เช่น กระดาษดินสอส่วนมากจึงมักจะมียางลบติดมาด้วยเพื่อใช้ควบคู่กัน
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
วิธีใช้ใช้ยางลบถูไปมาบนรอยดินสอที่ไม่ต้องการ การทำงานลบรอยคือเนื้อยางลบเสียดสีไปกับรอยดินสอที่ติดบนกระดาษ โดยกระดาษเสียหายน้อยมากเพราะยางลบมีความนุ่ม ยืดหยุ่น ยิ่งลบมากเท่าไรเนื้อยางลบก็หดหายไปเรื่อยๆแต่ที่ยางลบไม่สามารถลบปากกาได้นั้นเพราะปากกาใช้น้ำหมึกที่เขียนแล้วซึมลงในเนื้อกระดาษ ไม่ได้เหลือค้างไว้อย่างรอยดินสอ จึงติดแน่นกว่ายางลบจึงลบไม่ออก แต่ยางลบชนิดแข็งจะขูดเอาผิวหน้าของกระดาษออกไปจนลบหมึกออกหากลบแรงไปบางทีกระดาษขาดเลยก็มี
ยางลบนั้นทำมาจากยางเป็นหลักยางที่ว่าคือยางพารา แต่สำหรับยางลบที่ใช้งานเฉพาะทางก็อาจผลิตด้วยไวนิลพลาสติก หรือยางธรรมชาติอื่นๆ ก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นสีขาวแต่ก็สามารถผลิตให้เป็นสีอื่นๆ ได้แล้วแต่ส่วนผสมของวัสดุ
ประวัติยางลบที่ปลายดินสอผู้คนในสมัยก่อนใช้ขนมปังสีขาวที่ไม่มีขอบเพื่อลบรอยดินสอแกรไฟต์และถ่านหินซึ่งวิธีนี้บางครั้งยังมีการใช้อยู่โดยศิลปินสมัยใหม่
ในปีค.ศ.1770 วิศวกรชาวอังกฤษชื่อ เอ็ดเวิร์ด แนร์น (Edward Nairne) ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นยางลบที่ทำจากยางเป็นคนแรกต้นตอมาจากการที่เอ็ดเวิร์ดไปหยิบก้อนยางแทนที่จะเป็นขนมปังมาถูรอยดินสอโดยไม่ได้ตั้งใจ และค้นพบคุณสมบัติในการลบของยางจากนั้นจึงเริ่มผลิตยางลบออกขาย และมีการรายงานว่ายางลบของเขามีราคา 3 ชิลลิงต่อครึ่งลูกบาศก์นิ้ว ซึ่งแพงมากในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตามยางลบก็ไม่ได้ทำให้เกิดความสะดวกสบายไปมากกว่าขนมปังเนื่องจากยางลบในขณะนั้นเน่าเสียและย่อยสลายได้เหมือนขนมปัง ต่อมาในปีค.ศ.1839 ชาร์ลส์ กูดเยียร์(Charles Goodyear) ค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น (vulcanization) ซึ่งเป็นวิธีการรักษายางและทำให้เป็นวัสดุที่คงทนถาวรยางลบชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 30 มีนาคมค.ศ.1858 ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) จากฟิลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซิลเวเนียสหรัฐอเมริกาจดสิทธิบัตรในการติดยางลบเข้ากับปลายดินสออีกข้างหนึ่งเป็นครั้งแรกแต่ในภายหลังถูกยกเลิกเนื่องจากเป็นเพียงการนำอุปกรณ์สองชนิดประกอบเข้าด้วยกัน มากกว่าที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวใหม่
ประเภทของยางลบในท้องตลาดมีหลายเกรด ตามชนิดของวัสดุและคุณภาพ มีตั้งแต่ราคาก้อนละไม่กี่บาทมีสกรีนลายเนื้อไม่ค่อยดีเพราะทำให้กระดาษเสีย ขึ้นมาจนถึงยางลบทั่วไปสีขาวขุ่นเนื้อค่อนข้างแข็ง มีขี้ยางลบเป็นขุยๆ ผงๆ ราคาปานกลาง
ยางลบชนิดที่มีการพัฒนาขึ้นมาให้ไม่มีขี้ยางลบ คือ ชนิด non dust เนื้อจะเหนียวถ้าตั้งใจลบดีๆ ขี้ยางลบจะติดกันออกมาเป็นเส้นยาวๆ ได้ และชนิดที่เขียนว่าพลาสติก อีเรเซอร์ (Plastic Eraser) เป็นประเภทเนื้อเหนียวลักษณะคล้ายชนิดไร้ฝุ่น non dust ยางลบที่ดีมีราคาแพงมีลักษณะคือเนื้อเหนียว ลบสะอาด ออกแรงน้อย
(ที่มา
http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_05266.php)
วิธีการศึกษา
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียคณะผู้รายงานกำหนดขั้นตอน/วิธีการศึกษาไว้
ดังนี้
วัสดุ
อุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้
1.มีดสำหรับกรีดยางไม้
2.ภาชนะใส่น้ำยาง
3.บล๊อกสำหรับใส่น้ำยางรูปทรงต่างๆ
4.สารฟอกขาว
5.สีผสมอาหาร
ขั้นตอนการเตรียมงาน
1.
ประชุมสมาชิกในกลุ่มว่าจะทำโครงงานเรื่องอะไร
2.
สมาชิกในกลุ่มช่วยกันคิดหัวข้อคนละ 1
หัวข้อ
3.
สมาชิกในกลุ่มตกลงเลือกหัวข้อเรื่อง
การศึกษาการทำยางลบจากยางไม้
4.
สมาชิกในกลุ่มได้แบ่งงานกันไปทำ
ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.
ดูข้อมูลจากหนังสือ เว็บไซต์ว่าวิธีการกรีดยางการทำยางลบเราต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้างในการทำยางลบ
2.
นำน้ำยาที่กรีดได้ใส่ภาชนะที่เตรียมไว้แล้วดูว่ายางเมื่อจับตัวกันแล้วจะแข็งตัวได้เร็วขนาดไหน
3.
เมื่อเรารู้แล้วว่าน้ำยางนั้นจับตัวกันเป็นก้อนเร็วขนาดไหนเราก็รีดกรีดยางแล้วนำลงใส่ในบล็อกที่เราเตรียมไว้
4.
รอจนกว่าน้ำยาจะแห้งสนิท
5.
เมื่อน้ำยางแห้งสนิทแล้วเราก็นำน้ำยางออกจากบล็อก
6.
ทดลองว่ายางลบเป็นก้อน
แล้วสามารถลบได้สะอาดแค่ไหนเมื่อนำไปทดลองใช้กับนักเรียน
และดูว่านักเรียนมีความพึงพอใจมากน้อยเพียงใด
ผลการศึกษา
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียมีผลการศึกษา
ดังนี้
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียครั้งนี้เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
เมื่อเราศึกษาการทำยางลบจากยางต้นยางอินเดีย
แล้วเราก็นำความรู้นั้นมาทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
1.
เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับกีดยาง คือ
มีดสำหรับกรีดยาง ภาชนะสำหรับใส่น้ำยาง ลวด ที่เสียบสำหรับน้ำยางไหล
1.
นำที่ลองน้ำยางหรือภาชนะใส่น้ำยางที่เราเตรียมไว้นำมาลองน้ำยาง
2.
นำน้ำยางที่อยู่ในภาชนะที่เราเตรียมไว้มาปั้นให้เป็นก้อน
3.
ผลงานจะออกมาเป็นแบบนี้
จากผลการศึกษาทดลองปรากฏว่าเมื่อเรากรีดน้ำยางออกมาแล้วนั้นน้ำยางแข็งตัวเร็วและน้ำยางที่ไหลนั้นมีปริมาณน้อย
จึงต้องแก้ปัญหาโดยการนำภาชนะมาลองน้ำยางให้เต็มเมื่อเต็มได้ตามต้องการแล้วเราก็นำไปผึ่งแดดเมื่อผึ่งแดดจนแห้งแล้วนำออกจากบล็อกปรากฏว่าผลที่ได้นั้นเป็นแผ่นเพราะปริมาณน้ำยางนั้นน้อยจึงทำให้ไม่เป็นก้อนเมื่อแห้งทางกลุ่มของข้าพเจ้าจึงนำน้ำยางที่ได้มาปั้นเป็นก้อนแทนปรากฏว่าน้ำยางที่ก่อนมานั้นได้เป็นก้อนเหมือนยางลบ
สรุปผลการศึกษา
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียสามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
สรุปผลการศึกษา
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียสรุปได้ว่าสามารถนำมาน้ำยางของต้นยางอินเดียมาทำยางลบได้จริง
และยังสามารถลบรอยดินสอได้
ปัญหา/อุปสรรค/ข้อเสนอแนะ
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีปัญหา อุปสรรค์และข้อเสนอแนะดังนี้
1.น้ำยางต้นยางอินเดียเมื่อกรีดออกมานั้นมีปริมาณน้อยและไหลช้าแก้ไขโดยการกรีดน้ำยางในเวลาเช้าหรือฝนตกใหม่ๆ
2.น้ำยางแข็งตัวกันเป็นก้อนเร็ว แก้ไขโดยรีบปั้นน้ำยางที่ออกมาให้เป็นก้อนให้เร็วที่สุด
3.น้ำยางไม่เป็นก้อนเมื่อแห้ง แก้ไขโดย เติมน้ำยางเข้าไปตลอดเมื่อน้ำยางนั้นแห้ง
4.ต้นยางอินเดียนั้นมีน้อ
สรุปผลการศึกษา
2.น้ำยางแข็งตัวกันเป็นก้อนเร็ว แก้ไขโดยรีบปั้นน้ำยางที่ออกมาให้เป็นก้อนให้เร็วที่สุด
3.น้ำยางไม่เป็นก้อนเมื่อแห้ง แก้ไขโดย เติมน้ำยางเข้าไปตลอดเมื่อน้ำยางนั้นแห้ง
4.ต้นยางอินเดียนั้นมีน้อ
สรุปผลการศึกษา
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียสามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้
สรุปผลการศึกษา
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดียสรุปได้ว่าสามารถนำมาน้ำยางของต้นยางอินเดียมาทำยางลบได้จริง
และยังสามารถลบรอยดินสอได้
ปัญหา/อุปสรรค/ข้อเสนอแนะ
การศึกษาการทำยางลบจากน้ำยางของต้นยางอินเดีย
มีปัญหา อุปสรรค์และข้อเสนอแนะดังนี้
1.น้ำยางต้นยางอินเดียเมื่อกรีดออกมานั้นมีปริมาณน้อยและไหลช้าแก้ไขโดยการกรีดน้ำยางในเวลาเช้าหรือฝนตกใหม่ๆ
2.น้ำยางแข็งตัวกันเป็นก้อนเร็ว
แก้ไขโดยรีบปั้นน้ำยางที่ออกมาให้เป็นก้อนให้เร็วที่สุด
3.น้ำยางไม่เป็นก้อนเมื่อแห้ง แก้ไขโดย เติมน้ำยางเข้าไปตลอดเมื่อน้ำยางนั้นแห้ง
4.ต้นยางอินเดียนั้นมีน้อย
จัดทำโดย
1.นายเฉลิมชัย ศรีโมรา เลขที่
1
2.นายนริชชา นรสิงห์ เลขที่
6
3.นายธนภูมิ
กาฬภักดี เลขที่ 12
4.นางสาวฐิติมา กาฬภักดี เลขที่
29
5.นางสาวฐิติมา อู่ทอง เลขที่
34
6.นางสาวพรพรรณ เรืองเนตร์ เลขที่
36
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3
เอกสารอ้างอิง
น้ำชาติ ประชาชื่น.ยางลบทำมาจากอะไร.(ออนไลน์).เข้าถึงได้
http://campus.sanook.com. (วันที่ 10/1/2556)
nanaGarden.ลักษณะพฤกษศาสตร์ของยางอินเดีย.(ออนไลน์).เข้าถึงได้
http://www.nanagarden.com.(วันที่ 10/1/2556)
(วันที่ 10/1/2556)
(วันที่10/1/2556)